"ผงไหม" ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน มันมีประโยชน์เช่นนี้นี่เอง

     เนื่องจากเป็นความรู้ใหม่ที่ดิฉันก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน ว่าผงไหม คืออะไร  แต่พอได้อ่านก็รู้ว่ามีประโยชน์มากเหมือนกัน 



        เส้นใยไหมเป็นเส้นใยธรรมชาติ ที่มีคุณค่าต่อมนุษย์ในด้านสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มมานานนับพันปี แต่วิทยาการของโลกปัจจุบันได้มีการพัฒนานำ เส้นไหม รังไหมและเศษเหลือใช้จากเส้นไหม มาแปรรูปเป็นผงไหมสถาบันวิจัยหม่อนไหม กรมวิชาการเกษตร ได้ค้นคว้าวิจัยผลิตผงไหม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมด้วยการศึกษาวิจัยผลิตผงไหม ทั้งชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ
จากส่วนของ Fiborin และ Sericin ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนที่มีคุณค่ามหาศาล ต่อร่างกายในทางการแพทย์และโภชนาการเช่น
     Glycine : จะช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอลป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
     Alanine : เป็นแหล่งพลังงานสำคัญ   เป็นแหล่งสะสมน้ำตาล glucose ในตับและกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดน้ำตาลในเลือด ในกรณีเป็นโรคเบาหวาน
      นอกจากจะมีสารที่มีประโยชน์อีกมากมายในทางการแพทย์แล้วยังมีสาร Glutamic acid ที่ช่วยป้องกันผิวแห้งซึ่งเหมาะที่จะใช้ทำ Moisturizing

ผงไหม” คือ โปรตีนที่ผลิตมาจากส่วนของใยไหมซึ้งมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ



ผงไหมจากกาวไหม ที่เรียกว่า ผงไหมซิริซิน
ผลไหมจากเส้นใยไหม ที่เรียกว่า ผงไหมไฟโบรอิน ซึ่งมีทั้งชนิดที่ละลายน้ำและชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต
          
         สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือ สทน.ได้ทำการวิจัยร่วมกับกรมวิชาการเกษตร พบว่าผงไหสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพราะมีกรดอะมิโนอยู่มากถึง 16-18 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยรักษาแผลให้หายเร็ซขึ้น สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังทั้งยังช่วยรักษาปริมาณน้ำในผิวหนัง กำจัดสิ่งสกปรกในเซลล์และยืดอายุเซลล์ได้อีกด้วย อีกทั้งผงไหมพันธุ์ไทยยังมีคุณสมบัติบางชนิดที่เด่นในปริมาณที่มากกว่าพันธุ์ไหมของต่างประเทศ เช่น มีสารช่วยป้องกันผิวแห้งและลดแอลกอฮอล์ในตับ ซึ้งมีมากกว่าถึง 3 เท่า มีสารช่วยความจำ ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจมากกว่า 2 เท่า และมีสารลดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและสารต้านไวรัสมากกว่าถึง 4 เท่า

     **  การเพิ่ม “ผงไหม” ในอาหารยังเป็นการเพิ่มคุณค่าอาหารด้วย เนื่องจาก ผงไหม ยังมี สารช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด, สลายแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยความจำ และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ฯลฯ

       ผลิตภัณฑ์อาหารที่สามารถนำผลไหมไปเป็นส่วนผสมได้ ก็มี ไส้กรอก กุนเชียง ลูกชิ้น ไอศครีม บะหมี่ หมูยอ ซึ้งผงไหม จะช่วยให้ อาหารมีความนุ่ม เหมือนกับของทำออกมาใหม่ ลักษณะเนื้อเหมือนมีส่วนผสมหมูเนื้อแดง ในอัตราส่วนที่มา และมีสีสันยังสด เนื้อนุ่มชวนกิน และ้ถ้านำไปผสมในโยเกิร์ตหรือไอศครีม จะทำให้มีเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เนียน ไม่ละลายง่าย และุถ้าในบะหมี่ก็ทำให้เนียวนุ่ม ไม่ยุ่ย อีกด้วย

        ในไทยนั้นมีเศษไหมเหลือปีละ 300 ตัน หากนำไปเผาทิ้งก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาวะโลกร้อน แต่หากนำมาสกัดเป็นผงไหมจะได้มูลค่าเพิ่มขึ้น โดยต้นทุนวัตถุดิบเศษไหมที่ปีหนึ่งมูลค่า 100 ล้านบาท สามารถเปลี่ยนผงไหมมูลค่า 1,800 ล้านบาท และหากนำไปต่อยอดผลิตภัณฑ์จะเพิ่มมูลค่าได้อีก 10 เท่า

แหล่งที่มา: เอกสารของสถาบันเทคโนโลยีนิวเครียร์แห่งชาติ

การดูแลตังเองใน ฤดูฝนนี้ ให้ปลอดภัยจากไวรัสไข้หวัดใหญ่

การดูแลตัวเองในช่วงฤดูฝน   ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าถึงเวลาที่จะได้รับการพร้อมที่จะต่อสู้กับ ไวรัสไข้หวัดใหญ่

1 ดื่มน้ำมาก ๆ ควรจะดื่มน้ำประมาณ 4 แก้วหลังจากตื่นนอนทุกเช้า แล้วดื่มอีก 1 แก้วหลังอาหาร แล้ว ควรดื่มให้ครบวันละประมาณ 8-10 แ้ก้ว ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรจะเป็นน้ำผลไม้ด้วย
2 กินผลไม้และผักทุกวันตามที่เป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่
3 ได้นอนหลับเพียงพอ จะเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณและช่วยคุณต่อสู้โรคใด ๆ
4 ใช้บันไดแทนการขึ้นลิพในที่ทำงาน ถือเป็นการเดินฝึกสมาธิ ไปด้วย
5 สุดท้ายสวมหน้ากากเมื่อใดก็ตามที่คุณป่วย ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมของเรา

ฉลากสินค้าที่ถูกต้อง


  จาก เวบไซด์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  http://www.fda.moph.go.th

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณไม่ควรพลาด



เพื่อ สุขภาพพลานามัยที่ดีขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่ทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)


ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด

ถั่ว (nut)

ทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม "ถั่วช่วยคุณได้" ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิด ที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว และอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์การลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

บรอคโคลี่
เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้ที่ ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

กล้วยไข่ (Banana)

กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ

ฝรั่ง (guava)



ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าเต่ง ตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับ ประทานฝรั่งเป็นประจำ

แอปเปิ้ล (apple)



มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ "เพคติน" แต่ที่น่าสนใจสำคัญคือ เจ้าตัว "เพคติน"นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที

ส้ม (Orange)

แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคา ที่ถูกกว่าด้วย

ดื่มน้ำตอนไหน ดีที่สุด ดื่มอย่างไร


การ ดื่มน้ำนอกจากจะทําให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสแล้ว ยังทําให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทํางานได้ดีอีกด้วย

ใน 1 วัน ควรดื่มเท่าไหร่

ในทุกๆ วัน ร่างกายจะต้องสูญเสียน้ำผ่านทางการหายใจและการขับถ่าย จึงเป็นสิ่งที่จําเป็นมากที่จะต้องรับน้ำเข้าไปเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป และโดยปกติเราจะเสียน้ำจากการปัสสาวะเฉลี่ยวันละประมาณ 1.5 ลิตร และอีกเกือบถึง 1 ลิตรสำหรับ การหายใจและเหงื่อ ซึ่งถ้าคุณดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร (ประมาณ 8 แก้ว) ก็จะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำในส่วนนี้ได้ค่ะ แต่ สําหรับปริมาณน้ำที่ควรดื่มให้ได้ภายใน 1 วันเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองแล้ว ถ้าเป็นหนุ่มๆ ควรดื่มให้ได้วันละ 3 ลิตร (ประมาณ 13 แก้ว) ส่วนสาวๆ วันละ 2.2 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว) ก็โอ.เค.แล้วค่ะ
สําหรับสาวๆ สปอร์ตี้เกิร์ล จะต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เยอะกว่าคนปกตินะคะ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของกิจกรรมที่ทําด้วย ถ้าคุณออกกําลังกายในช่วงสั้นๆ ก็ควรจะดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปครั้งละ 1-2 แก้วหลังจากออกกําลังกายแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงยาวๆ ละก็เพิ่มขึ้นอีกสัก 2-3 แก้วก็ น่าจะเพียงพอแล้ว

ดื่มตอนไหน เวิร์กสุดๆ

การดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาดื่มด้วย จะได้ประโยชน์สูงสุด คุณควรจะดื่มในช่วง...

* ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ
* ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป

* ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)

* ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม)

* ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้แลกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น



ที่มา www.thaiware.com

ประโยชน์ของส้ม

กินส้มวันละใบผลักไสมะเร็งได้มีคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษใหญ่

นัก วิจัยเมืองจิงโจ้พบในรายงานการศึกษาของหลายชาติ เรื่องการบริโภคผลไม้จำพวกมะนาว หรือส้ม ให้คุณแก่สุขภาพสรุปได้ว่า "กินส้มวันละใบ จะผลักไสโรคมะเร็งบางชนิดให้พ้นตัว ไปได้"



นัก วิจัยขององค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพของรัฐบาล ออสเตรเลีย กล่าวแจ้งว่า ได้ค้นพบว่า การกินผลไม้พวกมะนาวหรือส้ม จะช่วยป้องกันมะเร็งที่ปาก กล่อง เสียง และกระเพาะลงได้ตั้งครึ่ง และยิ่งกินเพิ่ม นอกจากกินผักผลไม้วันละ 5 มื้ออยู่ประจำแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้ป้องกันอัมพาตได้อีกโรคหนึ่งได้ถึง 19 เปอร์เซ็นต์ด้วย

นัก วิจัยขององค์การคนหนึ่ง นางแคทรีน แบกเฮิสร์ทเปิดเผยว่า ผลไม้จำพวกมะนาวหรือส้ม ช่วยป้องกันโรคของร่างกายได้เพราะคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษของมัน พร้อมทั้งบำรุงระบบภูมิ คุ้มโรคให้แข็งแรง ขัดขวางเนื้อร้ายไม่ให้ลุกลาม และรักษาเซลล์เนื้อร้ายให้กลับคืนดีได้อีกด้วย

รายงานการศึกษาซึ่งทำ จากผลงานการศึกษาของชาติต่างๆ จำนวน 48 เรื่อง ยังได้พบหลักฐาน อันน่าเชื่ออีกด้วยว่า ผลไม้เหล่านี้ยังมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอ้วนและ เบาหวานอีกด้วย ในบรรดาผลไม้พวกนี้ทั้งหมด ผลส้มจะมีสารที่มีคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษ อัน เป็นสารพฤกษเคมีชนิดต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 170 อย่าง รวมทั้งสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีสรรพคุณ ป้องกันการอักเสบ เป็นเนื้อร้าย และเลือดจับตัวเป็นก้อนไม่ต่ำกว่า 60 อย่างด้วย

วิธีกินเพื่อ “ผมสุขภาพดี”

กูรูด้าน “เส้นผม” แนะนำวิธีกินเพื่อ “ผมสุขภาพดี” ….บำรุงจากภายใน สู่ภายนอก

โดย สิงห์สีชมพู

     วันนี้ “สิงห์สีชมพู” จะพาไปดูเรื่องราวเกี่ยวกับการบำรุง “เส้นผม” …..ซึ่ง “ริชาร์ด วาร์ด” ช่างผมชื่อดัง ได้แนะนำวิธีการต่างๆ เพื่อทำให้เส้นผมของคุณมีสุขภาพดีและสวยงาม โดยเน้นที่การเลือกทานรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง

     “ริชาร์ด วาร์ด” กล่าวว่า คุณคือสิ่งที่คุณกิน เส้นผมที่มีชีวิตชีวา แวววาว และมีน้ำหนักจำเป็นต้องถูกดูแลจากภายใน การเปลี่ยนแปลงนิสัยการกินและการใช้ชีวิต จะส่งผลอย่างไม่น่าเชื่อต่อสุขภาพผม

กูรูด้านเส้นผมคนนี้ก็ให้แนะนำไว้ ดังนี้

1. เส้นผมที่แข็งแรงขึ้นอยู่กับการถูกเลี้ยงจากเลือด เส้นผมที่กระด้างและขาดชีวิตชีวา มักมีสาเหตุจากการขาดวิตามิน ความเครียดหรือการสูบบุหรี่

2.การทำให้เส้นผมชุ่มชื่นและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ผมแห้ง เช่น การดื่มกาแฟหรือเหล้า คือตัวแปรสำคัญของผมสวย

3.การบริโภค “คาเฟอีน” มากเกินไป ทำให้ร่ายกายรักษาแร่ธาตุต่างๆ ได้น้อยลง อาจส่งผลให้เกิดภาวะ “ผมบาง” หรือ “ผมร่วง”

4.การรับประทานอาหารที่ช่วยสร้างเลือด เช่น ถั่วต่างๆ เมล็ดต่างๆ และลูกเบอร์รี่สีเข้มทั้งหลาย จะช่วยให้สุขภาพผมดีขึ้น

5.”ผักใบสีเขียวเข้ม” ทั้งหลาย เช่น ผักโขม เป็นแหล่งอาหารที่ดี มีธาตุเหล็กสูง

6. “น้ำมันปลา” เป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ที่ช่วยให้ผมสุขภาพดี

7. วิตามัน บี เป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อเส้นผม ขอแนะนำให้ทาน “ไข่” ซึ่งจะให้ผลดีไม่แพ้การหมักผมด้วยไข่

ความเชื่อเกี่ยวกับเส้นผม “ที่เป็นความจริง”

- การแปรงผม 100 ครั้งต่อวัน จะทำให้ผมสุขภาพดีขึ้น

เป็น ความจริง เนื่องจากการแปรงผมจะกระตุ้นหนังศรีษะ ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระตุ้นกระบวนการสร้างเลือดตามไปด้วย ดังนั้น จะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นและแข็งแรงขึ้น

- การกิน “เจลาติน” จะทำให้ผมตรงมากขึ้น

เป็น ความจริง เพราะเจลาตินอุดมไปด้วยโปรตีน นอกจากนี้ เจลาตินยังผลิตมาจาก “คอลลาเจน” ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้ผมที่งอกใหม่แข็งแรง

- การล้างผมด้วย “น้ำเย็น” ทำให้ผมเงางาม

เป็นความจริง การสระผมด้วยน้ำเย็นช่วยให้ผมเงางามได้จริง แต่อยากแนะนำให้สระผมด้วย “น้ำอุ่น” เพราะจะยิ่งทำให้ผมเงางามขึ้นไปอีก

ความเชื่อเกี่ยวกับเส้นผม “ที่เป็นเพียงนิยาย” (คือไม่เป็นความจริง)


- เมื่อถอนผมงอก 1 เส้นจะทำให้เกิดผมงอกขึ้น 2 เส้นในที่เดิมนั้น ไม่เป็นความจริง

- การตัดผมจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้น หรือการไม่ตัดผมจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้น ถือว่าไม่เป็นจริงทั้ง 2 กรณี

- การเล็มปลายผมบ่อยๆ เพื่อกำจัดผมแตกปลาย ก็ไม่ช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้นหรือยาวช้าลงแต่อย่างใดเช่นกัน

 

ขอบตาคล้ำ

ปัญหาขอบตาดำ
      ดวง ตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เป็นประโยคที่ได้ยินเป็นประจำ การที่เราจะมองใครคนหนึ่งว่าสวยหรือไม่ ตาก็เป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง ถ้าใครมีดวงตาที่ผ่องใส ผิวหนังรอบตาไม่มีมลทิน ก็ทำให้หน้าดูสวยไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครมีปัญหาขอบตาคล้ำ ก็ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส ความสวยงามก็ลดลงไปแล้ว ดังนั้น การรักษาผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำทำให้กลับมาสดใสจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ปัญหาใต้ตาคล้ำ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ ในคนไทย ก่อนจะมาถึงการรักษา ควรจะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน เพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และเป็นการป้องกันไม่ให้รอยดำเป็นมากขึ้น


สาเหตุของขอบตาดำ

ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ บางคนมีสาเหตุจากหลายๆ สาเหตุ
- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง พ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก
- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป
- การระคายเคืองแถวๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น
- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่
- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม
- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ
การรักษาขอบตาดำ

ถ้าไม่ใจร้อน รักษาแบบได้ผลช้าๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้น และได้ผลเร็วๆ การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอยๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้
ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด


ที่มา  www.halalthailand.com

การรับประทานข้าวกล้อง ดีอย่างไร ??

การรับประทานข้าวกล้อง



ข้าวกล้องคืออะไร ?

       คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก    
       สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว



      ข้าวกล้อง  บางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง



ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%



ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

• ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร
• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา
(โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ


ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว


ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง
• ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
• วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
• วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด
• วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
• ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
• แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
• กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
• เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
• ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
• มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น

 
ผลเสียของการกินข้าวขาว



        โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก
• โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)
• โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)
• โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)
• โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย
• โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)
• โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)
• อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
• เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว
• โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%
• โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว
• อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม
• โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
• ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์


           คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น





ประโยชน์ของการรับประทานผักและผลไม้

........ประโยชน์ของการรับประทานผักและผลไม้




1.ผักผลไม้สีเขียว
      พบมากในผักผลไม้สีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ฯลฯ และพบได้ในผักและผลไม้สีเขียวทั่วไป เช่น แอบเปิ้ลเขียว ฝรั่ง องุ่นเขียว เป็นต้น ซึ่งในผักผลไม้สีเขียวนี้มีสารที่ชื่อว่า “คลอโรฟิลด์” (Chlorophyll) ในผักผลไม้สีเขียวนี้อุดมไปด้วยสารต่อต้านการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวพรรณของคุณผู้หญิงเปล่งปลั่งสดใส ช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอย นอกจากนี้การทานผักผลไม้สีเขียวเป็นประจำจะช่วยทำให้ระบบการขับถ่ายคล่องเนื่องจากมีกากใยเยอะ

2.ผักผลไม้สีแดง
      พบมากในมะเขือเทศ เชอรี่ บีทรูต แคนเบอรี ทับทิม ซึ่งในผักผลไม้สีแดงเหล่านี้ มีสารที่ชื่อว่า “ไลโคปีน” (Cycopene) และ “เบตาไซซีน” (Betacycin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ผักผลไม้สีแดงมีความสำคัญและจำเป็นมากต่อผู้ชายทุกท่าน เนื่องจากมีสารต่อต้านการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ และนอกจากนี้ มะเขือเทศ ยังช่วยลดอาการเกิดสิวและยังทำให้รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวบนใบหน้าจางลง

3.ผักผลไม้สีเหลือง
     พบมากในข้าวโพด มีสารที่ชื่อว่า “ลูทีน” (Lutein) ซึ่งช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสีที่อยู่ในเรตินา ในดวงตาของคุณผู้หญิงค่ะ ประโยชน์ของผักผลไม้สีเหลือง อย่างข้าวโพดนั้น ยังช่วยล้างพิษในร่างกายคุณผู้หญิงได้เป็นอย่างดี หากขาดผักผลไม้สีเหลืองแล้วเมื่ออายุมากขึ้นอยู่ในวัยชราแล้ว เป็นสาเหตุให้ดวงตาพร่ามัว มองไม่ชัดหรือมองไม่เห็นได้

4.ผักผลไม้สีส้ม
     พบมากในมะละกอและแครอท มีสาร “เบต้าแคโรทีน” (Betacarotene) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล หรือ ไขมันในเส้นเลือดได้ ผู้หญิงคนไหนรับประทานผักผลไม้สีเหลืองติดต่อกัน จะช่วยรักษาเรื่องฝ้าที่เกิดบนผิวหน้าได้ แต่ถ้าทานมากไปก็ไม่ดี ดังนั้นจึงควรเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะ สลับกันไปกับการทานผักผลไม้สีอื่นๆ ด้วย

5.ผักผลไม้สีม่วง
     พบมากในมะเขือสีม่วง แบล็กเบอรี บลูเบอรี อัญชัน มีสาร “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) มีคุณสมบัติทำลายสารที่ก่อใหเเกิดมะเร็ง ช่วยขยายหลอดเลือด นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และการเกิดอัมพาตได้ด้วย

วิธีแก้อาหารปวดหลัง ง่ายๆ

.....ตื่นเช้าทุก วันให้บริหารกล้ามเนื้อหลังดังนี้


1.  นอนหงายยืดเท้าตรงแนบชิด กัน
2.  ยกปลายเท้าลอยสูงขึ้น ประมาณหนึ่งฟุต (ไม่ควรยกให้สูงกว่านี้)

3.  ฝืนค้างไว้พร้อมนับสิบ วินาที
4.  ครบแล้วลดปลายเท้าวางลงพัก ห้าวินาที...ดังนี้คือหนึ่งเซ็ท
5.  ทำติดต่อกันรวมสิบเซ็ท
    ใช้เวลาไปรวมร้อยห้าสิบวินาทีต่อวันเท่านั้น